หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

Install EmguCV 2.3.0.1416 for Windows 7 64 bit

วันนี้จะแนะนำการติดตั้ง EmguCV เพื่อใช้งานแบบ 64 Bits

1. Download โปรแกรมจาก
       http://sourceforge.net/projects/emgucv/files/emgucv/2.3.0/libemgucv-windows-x64-2.3.0.1416.zip/download
2. แตกไฟล์ libemgucv-windows-x64-2.3.0.1416.zip ไปยัง path ที่ต้องการ
3. Create New Project ใน Visual Studio ในที่นี้ทดลองเลือก โปรเจคจาก Visual C# -> Windows Forms Application
4. เพิ่ม ไฟล์ Emgu.Utils.dll และ Emgu.CV.dll ไปใน References ของ Project หรืออาจเพิ่ม Emgu.xxx.dll ที่ต้องการใช้เพิ่มเติมได้ ซึ่งจะเก็บอยู่ใน path ที่ทำการติดตั้ง Emgu /bin
5. เพิ่ม Emgu.CV namespace ไปที่ส่วนบนสุดของ ไฟล์ source code ได้แก่ รวมทั้ง namespace เพิ่มเติมที่ต้องการใช้ได้
       using Emgu.CV;
       using Emgu.CV.Structure;
6. เขียนโปรแกรมตามสะดวกครับ ^^

การแก้ปัญหาถ้ารันโปรแกรมแล้วมี Error ที่เขียนว่า

ติดตั้ง MSVCRT ?
สำหรับ Version 2.0+ ให้ลองติดตั้ง  MSVCRT 9.0 SP1 .
สำหรับ Version 1.5,  ให้ลองติดตั้ง  MSVCRT 8.0 SP1 .

Copy OpenCV dlls ไปยัง execution directory อาจเป็น โฟลเดอร์ Debug และ Release ของโปรเจค?
ซึ่งไฟล์เหล่านี้จะเก็บไว้ใน path ที่ทำการติดตั้ง Emgu /bin 

สำหรับ Emgu CV version >= 2.2
ให้ copy dlls: opencv_calib3dXXX.dll, opencv_contribXXX.dll, opencv_coreXXX.dll, opencv_features2dXXX.dll, opencv_highguiXXX.dll, opencv_imgprocXXX.dll, opencv_legacyXXX.dll, opencv_mlXXX.dll, opencv_objectdetectXXX.dll, opencv_videoXXX.dll โดย XXX คือ version ของ OpenCV.

สำหรับ  Emgu CV version <= 2.1
ให้ copy dlls: cvXXX.dll, cvauxXXX.dll, cxcoreXXX.dll, highguiXXX.dll, opencv_ffmpegXXX.dll, mlXXX.dll and cvextern.dll โดย XXX คือ version ของ OpenCV.

ตั้งค่า project เพิ่มเติม ดังนี้ :
Copy the unmanaged DLLs ไปที่ project folder โดย
Right click ที่ project, 
click Add->Existing Item แล้วเลือก unmanaged DLLs ทั้งหมดตามด้านบน.
left click ที่ DLLs แต่ละตัวที่เพิ่มเข้ามา, ดูที่หน้าต่าง Properties "Copy to Output Directory" เลือก "Copy if newer"

ถ้า missing dependency?
ให้ Download Dependency Walker แล้วใช้เปิดไฟล์ "cvextern.dll" . ตรวจสอบ dependency ที่ missing.

ทำงานบน ระบบปฏิบัติการ 32-Bit หรือไม่ ?
version windows installer จะใช้สำหรับระบบปฏิบัติการ windows 32-Bit. 
ถ้าใช้ระบบปฏิบัติการ windows 64-bit, ให้ download version 64bit ไปใช้งาน.
ถ้าพัฒนา application ที่ run ใน 32bit mode บน 64-bit OS. ให้ configuration page of  executable project, เลือก Platform Target as 'x86'.

ทั้งนี้สามารถศึกษาวิธีการติดตั้ง เพิ่มเติมในการใช้งานด้านต่างๆ ได้ที่

http://www.emgu.com/wiki/index.php/Download_And_Installation

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

OpenCV 2.3.1 + MS-VC++ 2010 (Windows Forms App.) + Windows 7 (All 64 Bit)

After I pass the thesis proposal. The time to do the thesis. Now I need environment setup on my computer for the thesis.
This is tutorial I will show how to configure Microsoft Visual C++ 2010  with Opencv 2.3.1 on Windows 7, all of which are executed on the architecture of 64 Bit.

หลังจากผมผ่านการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงมือทำวิทยานิพนธ์จริงๆซะที
ตอนนี้ผมต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการทำวิทยานิพนธ์ วันนี้จะมาอธิบายการติดตั้งและปรับแต่งการใช้งาน OpenCV 2.3.1 ร่วมกับ Microsoft Visual C++ 2010 บน Windows 7 ซึ่งทั้งหมดจะรันบนสถาปัตยกรรมแบบ 64 Bit

ตอนนี้ OpenCV ออกรุ่นล่าสุด คือ 2.3.1 สามารถดาวโหลดได้จาก
Download OpenCV from http://opencv.willowgarage.com/wiki/

Extract file to you folder --> such as c:\OpenCV2.3.1
  ซึ่งภายในโฟลเดอร์นี้จะมีโฟลเดอร์ย่อยหลายโฟลเดอร์ และจะพบโฟลเดอร์ชื่อ build ด้วย

  ***ตอนรัน โปรแกรมอาจถามหาไฟล์ tbb_debug.dll  ซึ่งดาวน์โหลดได้จาก OpenCV2.3 แล้ว copy
        จาก C:\OpenCV2.3\build\x64\vc10\bin มาใส่ใน C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\bin
        และ
        จาก C:\OpenCV2.3\build\x86\vc10\bin มาใส่ใน C:\OpenCV2.3.1\build\x86\vc10\bin

1.
เพิ่ม Path ที่จำเป็นต้องใช้
Control Panel -> System -> Advanced system settings -> Tab Advanced -> Environment Variables...
  ที่ System variables -> Path -> เพิ่ม Path ต่อท้าย ดังนี้ C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\bin;

  โดย
          x64 สำหรับ 64 bit
          x86 สำหรับ 32 bit

          vc10 สำหรับ Visual Studio 2010
          vc9 สำหรับ Visual Studio 2008


2.
Setting environment for using Microsoft Visual Studio 2010 x64 tools.
เปิดใช้งาน Microsoft Visual C++ 2010 64 bit
  Microsoft Visual Studio 2010 -> Visual Studio Tools -> Visual Studio Command Prompt (2010)
  พิมพ์  vcvarsall.bat amd64

3.
เปิด Microsoft Visual C++ 2010
  File -> New -> Project
    ที่ Installed Templates -> Visual C++ -> ด้านขวามือเลือก Windows Forms Application

4.
Tools Bar ตรง Win32 คลิก เพื่อเลือก Configuration Manager

  Platform -> New -> New platform: เลือก x64


5.
Config Solution เพิ่มเติม ดังนี้
  ที่ Solution Explorer
    คลิกขวาที่ ชื่อ Solution -> Property

      C/C++ -> General
        *** Configuration -> All Configurations
               Platform -> Active(x64)

        Additional Include Directories เพิ่มพาธ C:\OpenCV2.3.1\build\include

        Common Language RunTime Support -> Common Language RunTime Support(/clr)

6.
      Linker -> Input
      Additional Dependencies เพิ่ม libraries ที่ต้องการใช้ ที่จำเป็นได้แก่
      6.1
        *** Configuration -> Debug
               Platform -> Active(x64)
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_core231d.lib
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_highgui231d.lib
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_objdetect231d.lib

      6.2
        *** Configuration -> Release
               Platform -> Active(x64)
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_core231.lib
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_highgui231.lib
        C:\OpenCV2.3.1\build\x64\vc10\lib\opencv_objdetect231.lib

7.
เอา Button มาวางบน Form1
ที่ Form1.h ส่วนบนของไฟล์ก่อน namespace เพิ่ม

  #include "opencv2\opencv.hpp"

ลองทดสอบโปรแกรมง่ายๆ โดยพิมพ์ตัวอย่างที่ button1_Click

// Open the file. Copy photo.jpg  to source code folder
        IplImage *img = cvLoadImage("photo.jpg");
        if (!img) {
                MessageBox::Show("Error: Couldn't open the image file.","Error", _
                    MessageBoxButtons::OK,MessageBoxIcon::Error);
        }
        else {
               // Display the image.
               cvNamedWindow("Image:", CV_WINDOW_AUTOSIZE);
               cvShowImage("Image:", img);

               // Wait for the user to press a key in the GUI window.
               cvWaitKey(0);

               // Free the resources.
               cvDestroyWindow("Image:");
               cvReleaseImage(&img);
        }



วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Steve Jobs' 2005 Stanford Commencement Address [Th]



ในวันที่บริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S โดยซีอีโอคนใหม่ "ทิม คุก" บรรดาสาวกแอปเปิ้ลต่างรู้สึกหวนคิดถึงภาพของ "สตีฟ จ๊อบส์" ในเสื้อผ้าลำลองกางเกงยีนส์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรมันก็ดูน่าหยิบจับน่าเลื่อมใสกับการเป็น ตำนาน ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ลของเขา

นอกจากความเป็นตำนานนี้ ยังรวมถึงวิธีคิดวิธีทำงานและเส้นทางของจ๊อบส์เองที่เหมือนตะเกียงของคนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับโลกใบนี้ และเป็นไอคอนของแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนไม่น้อยในโลก




การเสียชีวิตของจ๊อบส์ที่มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังแอปเปิ้ลเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวใหม่ เสมือนเป็นจุดจบหนึ่งของจุดเริ่มต้นใหม่ของแอปเปิ้ลด้วยเช่นกัน ในแบบฉบับที่สตีฟ จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ขอนำเสนอ "สุนทรพจน์" ที่ดีที่สุดและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเขาได้กล่าวถ้อยคำอันมีความหมายมากมาย ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ 12 มิ.ย.2548



ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน"ตะเกียง" ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง" ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"

สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน

"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว

ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย

เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks


**บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริง ของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"

"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"

"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?"

"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"

"พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้นก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต

ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรีนยแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน

ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ

มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต

ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก



**บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย

ผมเป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซก่อตั้งแอปเปิ้ลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี แอปเปิ้ลขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?

คือว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆมาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก

ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวังรู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิ้ลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยุ่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

ในช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ เน็กสต์ อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของโลก คือ ทอย สตอรี่ และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของเน็กสต์ กลับคืนสู่แอปเปิ้ล และเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เน็กสต์ก็กลายเป็นหัวใจของแอปเปิ้ลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอนนี้ลอรีน และผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน

ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ

น้องๆต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่" เมื่อได้เจอกับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ อย่าท้อถอย


**บทเรียนที่ 3 ความตาย

ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมากก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว

ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ

ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ ถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา

ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม

ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดูเว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง

เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น

ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคนเมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย

สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่

ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ" ขอบคุณมากครับ Steve Jobs


By


Steve Jobs' 2005 Stanford Commencement Address [Eng]





'You've got to find what you love,' Jobs says

This is a prepared text of the Commencement address delivered by Steve Jobs, CEO of Apple Computer and of Pixar Animation Studios, on June 12, 2005.

Video of the Commencement address.
I am honored to be with you today at your commencement from one of the finest universities in the world. I never graduated from college. Truth be told, this is the closest I've ever gotten to a college graduation. Today I want to tell you three stories from my life. That's it. No big deal. Just three stories.
The first story is about connecting the dots.
I dropped out of Reed College after the first 6 months, but then stayed around as a drop-in for another 18 months or so before I really quit. So why did I drop out?
It started before I was born. My biological mother was a young, unwed college graduate student, and she decided to put me up for adoption. She felt very strongly that I should be adopted by college graduates, so everything was all set for me to be adopted at birth by a lawyer and his wife. Except that when I popped out they decided at the last minute that they really wanted a girl. So my parents, who were on a waiting list, got a call in the middle of the night asking: "We have an unexpected baby boy; do you want him?" They said: "Of course." My biological mother later found out that my mother had never graduated from college and that my father had never graduated from high school. She refused to sign the final adoption papers. She only relented a few months later when my parents promised that I would someday go to college.
And 17 years later I did go to college. But I naively chose a college that was almost as expensive as Stanford, and all of my working-class parents' savings were being spent on my college tuition. After six months, I couldn't see the value in it. I had no idea what I wanted to do with my life and no idea how college was going to help me figure it out. And here I was spending all of the money my parents had saved their entire life. So I decided to drop out and trust that it would all work out OK. It was pretty scary at the time, but looking back it was one of the best decisions I ever made. The minute I dropped out I could stop taking the required classes that didn't interest me, and begin dropping in on the ones that looked interesting.
It wasn't all romantic. I didn't have a dorm room, so I slept on the floor in friends' rooms, I returned coke bottles for the 5¢ deposits to buy food with, and I would walk the 7 miles across town every Sunday night to get one good meal a week at the Hare Krishna temple. I loved it. And much of what I stumbled into by following my curiosity and intuition turned out to be priceless later on. Let me give you one example:
Reed College at that time offered perhaps the best calligraphy instruction in the country. Throughout the campus every poster, every label on every drawer, was beautifully hand calligraphed. Because I had dropped out and didn't have to take the normal classes, I decided to take a calligraphy class to learn how to do this. I learned about serif and san serif typefaces, about varying the amount of space between different letter combinations, about what makes great typography great. It was beautiful, historical, artistically subtle in a way that science can't capture, and I found it fascinating.
None of this had even a hope of any practical application in my life. But ten years later, when we were designing the first Macintosh computer, it all came back to me. And we designed it all into the Mac. It was the first computer with beautiful typography. If I had never dropped in on that single course in college, the Mac would have never had multiple typefaces or proportionally spaced fonts. And since Windows just copied the Mac, it's likely that no personal computer would have them. If I had never dropped out, I would have never dropped in on this calligraphy class, and personal computers might not have the wonderful typography that they do. Of course it was impossible to connect the dots looking forward when I was in college. But it was very, very clear looking backwards ten years later.
Again, you can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.
My second story is about love and loss.
I was lucky — I found what I loved to do early in life. Woz and I started Apple in my parents garage when I was 20. We worked hard, and in 10 years Apple had grown from just the two of us in a garage into a $2 billion company with over 4000 employees. We had just released our finest creation — the Macintosh — a year earlier, and I had just turned 30. And then I got fired. How can you get fired from a company you started? Well, as Apple grew we hired someone who I thought was very talented to run the company with me, and for the first year or so things went well. But then our visions of the future began to diverge and eventually we had a falling out. When we did, our Board of Directors sided with him. So at 30 I was out. And very publicly out. What had been the focus of my entire adult life was gone, and it was devastating.
I really didn't know what to do for a few months. I felt that I had let the previous generation of entrepreneurs down - that I had dropped the baton as it was being passed to me. I met with David Packard and Bob Noyce and tried to apologize for screwing up so badly. I was a very public failure, and I even thought about running away from the valley. But something slowly began to dawn on me — I still loved what I did. The turn of events at Apple had not changed that one bit. I had been rejected, but I was still in love. And so I decided to start over.
I didn't see it then, but it turned out that getting fired from Apple was the best thing that could have ever happened to me. The heaviness of being successful was replaced by the lightness of being a beginner again, less sure about everything. It freed me to enter one of the most creative periods of my life.
During the next five years, I started a company named NeXT, another company named Pixar, and fell in love with an amazing woman who would become my wife. Pixar went on to create the worlds first computer animated feature film, Toy Story, and is now the most successful animation studio in the world. In a remarkable turn of events, Apple bought NeXT, I returned to Apple, and the technology we developed at NeXT is at the heart of Apple's current renaissance. And Laurene and I have a wonderful family together.
I'm pretty sure none of this would have happened if I hadn't been fired from Apple. It was awful tasting medicine, but I guess the patient needed it. Sometimes life hits you in the head with a brick. Don't lose faith. I'm convinced that the only thing that kept me going was that I loved what I did. You've got to find what you love. And that is as true for your work as it is for your lovers. Your work is going to fill a large part of your life, and the only way to be truly satisfied is to do what you believe is great work. And the only way to do great work is to love what you do. If you haven't found it yet, keep looking. Don't settle. As with all matters of the heart, you'll know when you find it. And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on. So keep looking until you find it. Don't settle.
My third story is about death.
When I was 17, I read a quote that went something like: "If you live each day as if it was your last, someday you'll most certainly be right." It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: "If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?" And whenever the answer has been "No" for too many days in a row, I know I need to change something.
Remembering that I'll be dead soon is the most important tool I've ever encountered to help me make the big choices in life. Because almost everything — all external expectations, all pride, all fear of embarrassment or failure - these things just fall away in the face of death, leaving only what is truly important. Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose. You are already naked. There is no reason not to follow your heart.
About a year ago I was diagnosed with cancer. I had a scan at 7:30 in the morning, and it clearly showed a tumor on my pancreas. I didn't even know what a pancreas was. The doctors told me this was almost certainly a type of cancer that is incurable, and that I should expect to live no longer than three to six months. My doctor advised me to go home and get my affairs in order, which is doctor's code for prepare to die. It means to try to tell your kids everything you thought you'd have the next 10 years to tell them in just a few months. It means to make sure everything is buttoned up so that it will be as easy as possible for your family. It means to say your goodbyes.
I lived with that diagnosis all day. Later that evening I had a biopsy, where they stuck an endoscope down my throat, through my stomach and into my intestines, put a needle into my pancreas and got a few cells from the tumor. I was sedated, but my wife, who was there, told me that when they viewed the cells under a microscope the doctors started crying because it turned out to be a very rare form of pancreatic cancer that is curable with surgery. I had the surgery and I'm fine now.
This was the closest I've been to facing death, and I hope it's the closest I get for a few more decades. Having lived through it, I can now say this to you with a bit more certainty than when death was a useful but purely intellectual concept:
No one wants to die. Even people who want to go to heaven don't want to die to get there. And yet death is the destination we all share. No one has ever escaped it. And that is as it should be, because Death is very likely the single best invention of Life. It is Life's change agent. It clears out the old to make way for the new. Right now the new is you, but someday not too long from now, you will gradually become the old and be cleared away. Sorry to be so dramatic, but it is quite true.
Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma — which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of others' opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.
When I was young, there was an amazing publication called The Whole Earth Catalog, which was one of the bibles of my generation. It was created by a fellow named Stewart Brand not far from here in Menlo Park, and he brought it to life with his poetic touch. This was in the late 1960's, before personal computers and desktop publishing, so it was all made with typewriters, scissors, and polaroid cameras. It was sort of like Google in paperback form, 35 years before Google came along: it was idealistic, and overflowing with neat tools and great notions.
Stewart and his team put out several issues of The Whole Earth Catalog, and then when it had run its course, they put out a final issue. It was the mid-1970s, and I was your age. On the back cover of their final issue was a photograph of an early morning country road, the kind you might find yourself hitchhiking on if you were so adventurous. Beneath it were the words: "Stay Hungry. Stay Foolish." It was their farewell message as they signed off. Stay Hungry. Stay Foolish. And I have always wished that for myself. And now, as you graduate to begin anew, I wish that for you.
Stay Hungry. Stay Foolish.
Thank you all very much.

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ปัญหาการแทรกเลขหน้าใน MS Word 2010

หลายคนคงเจอปัญหา เกี่ยวกับการใส่เลขหน้าใน MS Word 2010 เช่น
" ไม่อยากใส่เลขหน้าในหน้าแรก "
" อยากใส่เลขหน้าที่เป็นเลขคี่ด้านขวา ใส่เลขหน้าที่เป็นเลขคู่ด้านซ้าย "
" ในเอกสารมีทั้ง คำนำ สารบัญ และเนื้อหา ต้องการใส่เลขหน้าเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหา ให้เริ่มที่หน้า 1 แต่ไม่ต้องการใส่เลขหน้าในส่วนที่เป็นคำนำ สารบัญ "
อื่นๆ อีกมากมาย

แล้วเราก็จะเห็นการแก้ปัญหาโดยการ
" แยกแต่ละส่วนเป็นคนละไฟล์ "
" พิมพ์เลขหน้าลงไปเอง "
" วาดกรอบสี่เหลี่ยมสีขาวและใช้เส้นสีขาว ปิดทับเลขหน้าที่ไม่ต้องการ "
และอื่นๆ อีกมากมาย เช่นกัน

วันนี้ผมจะมาแนะนำ การใช้งานเมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ ในการจัดการกับเลขหน้า

สมมุติโจทย์คือ

1. ใส่เลขหน้าที่เป็นเลขคี่ที่มุมบนด้านขวา 
2. ใส่เลขหน้าที่เป็นเลขคู่ที่มุมบนด้านซ้าย 
3. หน้าที่เป็น ปก คำนำ สารบัญ การขึ้นบทใหม่ บรรณานุกรม และ ภาคผนวก ไม่ต้องใส่เลขหน้า

วิธีการก็ไม่ยากครับ

1. ผมก็พิมพ์ทุกอย่างให้เสร็จ (หรือจะไม่เสร็จก็ได้นะครับ)
2. การแทรกเลขหน้า
    2.1 ไปที่หน้าแรกของเอกสารเลยครับในที่นี้คือหน้าที่ 1 (ซึ่งอาจเป็นหน้าปก) แล้วไปเมนูแทรก เพื่อแทรกเลขหน้า ในที่นี้คือมุมบนด้านซ้ายครับ ซึ่งมันจะมีเลขหน้าที่มุมบนด้านซ้ายทุกหน้าครับ



    2.2 ไปที่เมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ คลิกที่รูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงมุมล่างด้านซ้ายของกรอบเมนูครับ



    2.4 จะมีเมนูตั้งค่าหน้ากระดาษแสดงขึ้นมาครับ ให้คลิกที่แท็บ เค้าโครงครับ
           คลิกเลือก หน้าคู่และหน้าคี่ต่างกัน  คือ จะสามารถพิมพ์เลขหน้าในหน้าคู่ และหน้าคี่ ที่ตำแหน่งต่างกันได้ครับ เช่น เราต้องการพิมพ์เลขหน้าที่เป็นเลขคี่ที่มุมบนด้านขวา พิมพ์เลขหน้าที่เป็นเลขคู่ที่มุมบนด้านซ้าย
           คลิกเลือก หน้าแรกต่างกัน คือ เราจะไม่ให้มีการพิมพ์เลขหน้าในหน้าแรก ของแต่ละ Section ครับ


    2.5 เมื่อเลือกได้ตามที่ต้องการแล้วคลิกปุ่มตกลงครับ ตอนนี้จะเห็นว่า
           เลขหน้าในหน้าแรกหายไปแล้ว เพราะ คลิกเลือก หน้าแรกต่างกัน
           เลขหน้าในหน้าคู่หายไป เพราะ คลิกเลือก หน้าคู่และหน้าคี่ต่างกัน

    2.6 ให้เลื่อนเอกสารไปหน้าที่ 2 แล้วไปเมนูแทรก เพื่อแทรกเลขหน้า คล้ายขั้นตอนที่ 2.1 แต่ในที่นี้เราจะเลือกแทรกที่มุมบนด้านซ้ายครับ ซึ่งจะทำให้หน้าคู่จะมีเลขหน้าที่มุมบนด้านซ้ายทุกหน้าครับ

จากข้อ 2 เราก็สามารถประยุกต์ใช้เรื่องการแทรกเลขหน้าได้แล้วนะครับ

3. จัดการแบ่งส่วน Section
    การแบ่งส่วน Section คือ แบ่งเอกสารออกเป็นส่วนๆ (Section) เหมือนการแยกเป็นคนละไฟล์ แต่การแบ่งส่วน Section นั้น เอกสารยังคงเป็นไฟล์เดิม ปกติเอกสาร 1 ไฟล์จะเป็น 1 Section โดยวิธีการมีดังนี้
    3.1 เลื่อนเคอร์เซอร์ไปตำแหน่งที่ต้องการแบ่งส่วน สมมุติผมต้องการแบ่ง หน้าปก(หน้าที่ 1 ตอนนี้ไม่มีเลขหน้าแล้ว) กับ คำนำ(หน้าที่ 2) ออกจากกัน ผมจะ เลื่อนเคอร์เซอร์ไปที่บรรทัดสุดท้ายของหน้าที่ 1 (จุดที่ต้องการเริ่มแยก Section) แล้วไปที่เมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ คลิกที่รูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงมุมล่างด้านซ้ายของกรอบเมนู เหมือนขั้นตอนที่ 2.2
         ในรายการ เริ่มส่วนที่ เป็นการเลือกว่าจะแบ่งส่วน Section ออกเป็นแบบใด ในที่นี้เราต้องการแบ่งเป็นหน้าใหม่


         หลังจากนั้นให้เลือกว่าจะนำไปใช้กับเอกสารส่วนไหน ในที่นี้เลือก จุดนี้เป็นต้นไป
         จะทำให้ ตั้งแต่หน้า 2 เป็นต้นไป กลายเป็นส่วน Section ที่ 2 และเลขหน้า 2 ที่เคยมีก็จะหายไปด้วย เพราะเราได้เลือก "หน้าแรกต่างกัน" ไว้ ทำให้ หน้าแรกของ Section ที่ 2 ไม่แสดงเลขหน้า ซึ่งเราก็ไม่ต้องการให้แสดงเลขหน้าอยู่แล้วเพราะในที่นี้คือคำนำ


    3.2 ในมุมมองที่แสดงหัวกระดาษและท้ายกระดาษ จะสังเกตพบว่า
         เอกสารหน้าที่ 1 ส่วนหัวกระดาษ   จะเขียนว่า หัวกระดาษหน้าแรก -ส่วน 1-
                                   ส่วนท้ายกระดาษ จะเขียนว่า ท้ายกระดาษหน้าแรก -ส่วน 1-
         เอกสารหน้าที่ 2 ส่วนหัวกระดาษ   จะเขียนว่า หัวกระดาษหน้าแรก -ส่วน 2-
                                   ส่วนท้ายกระดาษ จะเขียนว่า ท้ายกระดาษหน้าแรก -ส่วน 2-

จากข้อ 3 เราก็สามารถประยุกต์ใช้แบ่งส่วน Section ภายในเอกสาร ให้กับส่วนต่างๆที่มีได้ เช่น ส่วนคำนำ ส่วนสารบัญ ส่วนเนื้อหาบทต่างๆ ส่วนบรรณานุกรม ส่วนภาคผนวก เป็นต้น โดยไม่ต้องแยกไฟล์กันนะครับ

*** ในแต่ละ Section สามารถกำหนดรูปแบบเลขหน้าที่ไม่เหมือนกันได้นะครับ เช่น สารบัญอาจจะกำหนดเลขหน้าให้เป็นตัวอักษร แต่เนื้อหากำหนดเลขหน้าเป็นตัวเลข

4. การปรับแต่งลำดับเลขหน้า
    ในกรณีที่เราต้องการตั้งค่าลำดับเลขเองนะครับ เช่น จากโจทย์ที่ยกตัวอย่างมา ผมจะแบ่ง Section ในทุกหน้าแยกกันหมด ตั้งแต่หน้าปก จนถึงหน้าแรกของบทที่ 1 ทำให้ทุกหน้าก่อนบทที่ 1 ไม่แสดงเลขหน้าเพราะทุกหน้าคือ 1 Section และในแต่ละ Section หน้าแรกจะไม่แสดงเลขหน้านั่นเอง ซึ่งตอนนี้เลขหน้าของบทที่ 1 ก็จะถูกนับมาจนไม่ใช่หน้า 1 แล้ว ดังนั้นเราจะมาแก้ไขให้ บทที่ 1 เริ่มนับเป็นหน้า 1
    โดยให้เลือนเคอร์เซอร์ ไปที่หน้าแรกของบทที่ 1 คลิกที่เมนู แทรก เลือก หมายเลขหน้า แล้วคลิกเลือก จัดรูปแบบหมายเลขหน้า
 


    โดยให้ระบุเลขหน้าที่ต้องการตรงส่วนของการใส่เลขหน้าว่าจะให้เริ่มที่เลขอะไร เช่น เริ่มที่เลข 1



ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ :D